ชีวิตเอเจนซี่ดิจิทัลต้องรู้!

5 สเตป จัดโต๊ะทำงานอย่างไร ให้ทำงานได้ประสิทธิภาพมากขึ้น Copy

     
     เราเชื่อว่าหลายๆ คนคงจะมีวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตัวเองด้วยหลากหลายวิธีแตกต่างกันออกไป แต่วันนี้เราเอาวิธีที่เป็นจุดเริ่มต้นง่ายๆ จากการจัดโต๊ะทำงานมาแนะนำกัน เพราะจริงๆ แล้วโต๊ะทำงานเนี่ย เป็นจุดที่เราใช้เวลากับมันมากที่สุดในการทำงาน (ถ้างานประจำก็ต้องอยู่กันไปอย่างต่ำๆ 8 ชั่วโมง) ซึ่งหากสถานที่ตั้งต้นไม่เวิร์กแล้ว ก็ยากที่จะให้งานนั้นออกมามีประสิทธิภาพได้ และจากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็พบว่ามีผู้คนเป็นจำนวนมาก ที่ต้องหลบหนีจากสภาพแวดล้อมที่โต๊ะทำงานตัวเอง และใช้ทางเลือกอย่าง ร้านกาแฟ หรือ Co-Working Space แทน เพราะเชื่อว่าสามารถทำงานได้ราบรื่นกว่า
     ดังนั้นไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าโต๊ะทำงานและสภาพแวดล้อมนั้นมีผลต่อการทำงานมากจริงๆ เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราจะเสียเงินไปกับการนั่งทำงานข้างนอกทำไม ถ้าหากเรามีวิธีที่จะจัดการโต๊ะให้พร้อมได้ด้วยตัวเอง จากการลงทุนเพิ่มไม่เท่าไร วันนี้ทาง Uppercuz จึงมีวิธีง่ายๆ แต่ใช้ได้จริงมาแนะนำกันว่าเราจะเริ่มต้นจัดโต๊ะทำงานใหม่ได้อย่างไร ให้ได้งานอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น ซึ่งแต่ละวิธีที่เราเอามาแนะนำก็มีผลการทดลอง หรือวิจัยกันมาแล้วว่ามีผลช่วยได้มาก ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ลองมาดูกัน

1) ความเป็นระเบียบคือหัวใจสำคัญ

     แค่ข้อแรกมาก็ดูเหมือนจะง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้วหลายๆ คนก็ตกม้าตายกันตั้งแต่ข้อนี้กันมากมาย เพราะหากลองนึกง่ายๆ ดูว่า หากโต๊ะเราไม่ได้มีการจัดเก็บของให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ในแต่ละวันเราจะต้องเสียเวลาไปกับการตามหาของสักขนาดไหน เพราะเดี๋ยวก็หาไอนั่นไม่เจอ ไอนี่ไม่เจอ หรืออย่างแย่กว่านั้นบางทีของที่ตามหาก็สูญหายไปเลยจากความรกยุ่งเหยิงบนโต๊ะ และเมื่อเป็นอย่างนั้นก็มักจะทำให้คนเกิดอาการหงุดหงิดหัวร้อนก่อนที่จะเริ่มงาน หรือในระหว่างทำงานกันไปอีก ความรกบนโต๊ะจึงมีผลต่ออารมณ์ในการทำงานเป็นอย่างมาก

     นอกจากนี้แค่เรื่องชวนอารมณ์เสียก็ยังไม่พอ เพราะมันมีข้อมูลที่น่ากลัวกว่านั้นจากผลสำรวจจากแบรนด์อย่าง Borther พบว่า 1 ใน 10 ของหัวหน้างานนั้นเลือกที่จะไม่ปรับตำแหน่งให้กับลูกน้องที่โต๊ะรก และกว่า 30% ของพนักงานก็ยังเชื่อว่าการจัดโต๊ะให้ดีนั้นจะเป็นบันได้ให้ไปสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงานได้ แม้ว่าตัวเลย 10% ของคนที่เลือกไม่เลื่อนขั้นให้อาจดูเหมือนน้อย แต่คงเป็นเรื่องที่ซวยมาก หากหัวหน้าเรานั้นดันเป็น 1 ในนั้นพอดี… นี่แค่ข้อแรกกับโต๊ะที่รกยังส่งผลต่อหน้าที่การงานได้ขนาดนี้แล้ว ก่อนจะไปข้อถัดไป เราขอแนะนำว่าควรเริ่มจากข้อนี้ให้รอดกันก่อนจะดีกว่า

2) ใส่ความเป็นตัวตนเข้าไปในการจัดโต๊ะ

     เมื่อโต๊ะเป็นระเบียบได้แล้วก็ลองขยับมาสู่ขั้นต่อไป กับการพยายามจัดโต๊ะให้ตรงกับแนวทาง (ด้านดี) ของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโต๊ะที่ออฟฟิศ การจัดวางของต่างๆ เสมือนเป็นการแสดงตัวตนบางอย่างของเราออกมาอยู่ไม่น้อย และการจัดโต๊ะออกมาอย่างมีสไตล์ (บนความไม่รก) ก็แสดงออกมาดึงความ Professional ออกมาได้เหมือนกัน และนอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาที่ออกมาว่า การจัดโต๊ะที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนนั้น ยังส่งผลไปถึงสถาพจิตใจในการทำงานด้วย เพราะจะช่วยให้เราสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้มากขึ้น และไม่วอกแว่กไปกับสิ่งอื่นๆ รอบๆ ตัว และเมื่อต้องการพักสายตาก็ยังมีอีกหลายมุมที่สร้างความสบายใจให้กับเราได้ไม่น้อย

     ซึ่งหากคิดไม่ออกว่าจะเริ่มอย่างไร ลองแนะนำว่าเริ่มจากสีที่ชอบก่อนก็ได้ แต่สีที่ว่านั้นก็มีในเรื่องของทฤษฏีเช้สมาเกี่ยวข้องเช่นกัน เพราะการใช้สีที่มืดๆ หรือหม่นๆ ก็จะส่งผลให้การทำงานลดประสิทธิภาพลงไปได้เช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่ควรเปลี่ยนก่อนเลยคือการเอาสีที่ชวนหดหู่ออกไป แต่การจะใช้สีไหนให้เหมาะสมนั้น ก็คงต้องมาดูเรื่องทฤษฏีสีกันสักหน่อยว่า สีไหนที่จะเหมาะกับรูปแบบงานของเรากันบ้าง เริ่มต้นจากสีแรกก็คือสีแดง ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานประเภทที่ต้องอาศัยการใช้แรงกายเข้ามาเกี่ยวข้อง และส่งผลให้มีความแอคทีฟมากขึ้น นั่นเลยเป็นสีที่ทางฟิตเนสแต่ละที่มักใช้กัน

     ต่อมาสีฟ้าตามทฤษฏีคือจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการสื่อสาร และช่วยในการทำงานประเภทที่ต้องการการโฟกัสมากๆ ในขณะที่สีส้มแปร้ดๆ ก็จะช่วยเพิ่มแรงบันดาลใจในการทำงาน เพิ่มความกระตือรือร้นให้มากขึ้น ส่วนสีที่ใกล้เคียงกันอย่างสีเหลืองนั้นกลับให้ผลที่ต่างกันออกไป เพราะจะช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ เพิ่มพลังงานสายไอเดียมากขึ้น ในขณะที่สีเขียวจะช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายไปกับบรรยากาศการทำงานและทำให้สบายใจมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้เราก็สามารถเลือกสรรกันได้เลยว่า เราชอบสีไหน และโทนไหนที่จะเหมาะกับงานของเรา

3) น้ำ ผลไม้ มีไว้อย่าให้ขาด

     การมีอุปกรณ์กินน้ำติดโต๊ะเอาไว้คืออีกปัจจัยที่จำเป็นอย่างมากในการทำงาน เพราะตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วการดื่มน้ำน้อยมีผลทางตรงอย่างมากที่ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานน้อยลง เพราะเมื่อใดที่ระดับน้ำในร่างกายอยู่ในปริมาณต่ำ หรือใกล้สู่ช่วง Dehydration (สภาวะร่างการขาดน้ำ) แล้ว เราก็จะเริ่มรู้สึกเหนื่อย และอ่อนเพลีย ซึ่งพอเข้าโหมดนี้เมื่อใดแล้วคนส่วนมากก็มักจะเข้าใจผิด และหันมาอัดกาแฟแทน ทั้งๆ ที่ร่างกายในตอนนั้นต้องการน้ำ ไม่ใช่คาเฟอีนแต่อย่างใด ซึ่งร่างกายได้รับคาเฟอีนไปมากๆ ก็จะเกิดอาการติดคาเฟอีนและต้องการมากขึ้นๆ ในทุกๆ วันแบบไม่รู้ตัว

     ปัจจุบันหลายๆ ออฟฟิศก็มีตู้น้ำเอาไว้ให้กดกันได้ตลอด แต่ปัญหาก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่าพนักงานส่วนมากก็มักจะขึ้เกียจลุกไปๆ มาๆ เพื่อกดน้ำทั้งวัน (ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ดีที่จะให้ร่างกายได้มีโอกาสพักและขยับบ้างจากการนั่งท่าเดิมนานๆ) ดังนั้นการมีแก้วเก็บความร้อนความเย็นใบใหญ่ๆ สักใบที่โต๊ะก็จะช่วยให้เราเข้าถึงการดื่มน้ำได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นยังไม่พอการตั้งเวลาให้ดื่มน้ำ ตามปริมาณที่กำหนดในแต่ละวันที่ 8-10 แก้ว ก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยกันลืมให้กับเราได้เช่นกัน

     ซึ่งนอกจากน้ำแล้ว ปริมาณน้ำตาลก็ช่วยทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าและสร้างความสดชื่นได้ แต่ทั้งนี้การพึ่งพาความหวานผิดที่ผิดทางจากขนมหวน น้ำหวาน ต่างๆ อาจเป็นทาแก้ที่ผิดที่ผิดทางไปเสียหน่อย เพราะหากได้รับเข้าไปทุกวันก็จะส่งผลถึงโรคอ้วน และเบาหวานต่อมาในระยะยาวอย่างแน่นอน ดังนั้นผลไม้จึงเป็นอีกหนึ่งทางออกสำหรับความหวานจากธรรมชาติ ที่นอกจากจะทำให้ร่างการกลับมาสดชื่นได้แล้วนั้น ยังส่งผลดีต่อร่างกายในทางอื่นๆ อีกด้วย

4) ต้นไม้ช่วยปรับสภาพแวดล้อมได้ดี

     อย่างที่รู้กันว่าในช่วงกลางวันต้นไม้นั้นจะช่วยสร้างอากาศที่ดีจากออกซิเจนที่ปล่อยออกมา ซึ่งไม่ว่าจะเป็น Outdoor หรือ Indoor ต้นไม้นั้นก็ยังคงทำหน้าที่เดียวกัน นั่นจึงส่งผลให้การมีต้นไม้ หรือพื้นที่สีเขียวบริเวณโต๊ะทำงานอยู่บ้าง ก็จะช่วยเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ที่จะส่งผลไปถึงการทำให้หัวปลอดโปร่ง และลดความเครียดลง จนกระทั่งมีผลการวิจัยออกมาว่า การที่ออฟฟิศมีพื้นที่สีเขียว ในบริเวณที่ทำงาน หรือที่โต๊ะของพนักงานเองนั้น จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ถึง 15% เลยทีเดียว

     ซึ่งทั้งนี้ก็ต้องเลือกต้นไม้และกระถางให้เหมาะสมกับพื้นที่ บริเวณโต๊ะ หรือบนโต๊ะทำงาน ไม่ให้ใหญ่เกินไปจนรกหูรกตา อีกทั้งควรเลือกต้นไม้ที่ไม่ต้องการเอาใจใส่มากนัก (คืออาจจะรดน้ำแค่วันละครั้งก็เพียงพออะไรแบบนี้) เพราะหากเป็นต้นไม้ที่เลี้ยงดูยาก ก็จะกลายเป็นว่าเราคงต้องใช้เวลางานมาคอยดูแลมันจนสุดท้าย Productivity ก็ลดลงไปอีก 

5) ตัดขาดจากสิ่งรบกวนต่างๆ

     กรณีที่ทำงานอยู่บ้านแล้วมีห้องส่วนตัวก็คงไม่มีปัญหา แต่โดยส่วนมากแล้วในหลายๆ ออฟฟิศกลับต้องพบกับความวุ่นวายรอบๆ ตัว ทั้งการพูดคุยข้ามหัวกันไปมา บางรายก็มีการร้องเพลงแถมมาให้อีก ในตอนที่ไม่ต้องโฟกัสกับงานก็อาจไม่เป็นปัญหาสักเท่าไร แต่เมื่อใดที่ต้องใช้ความคิดในการทำงานมากๆ นั้น สิ่งรบกวนเหล่านี้ก็จะทำให้เราจดจ่อกับงานตรงหน้าได้ยาก โดยทางแก้ง่ายๆ ก็คือการหาพื้นที่ที่มีความสงบให้ตัวเอง

     หลายคนอาจเลือกการใส่หูฟังและอัดเพลงเข้าหูไปเพื่อหวังลดการรบกวนจากสิ่งรอบข้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น กลับไม่ใช่ทางรอดสักเท่าไร เพราะมีผลการทดสอบออกมาว่า การฟังเพลงขณะที่ทำงานจะเป็นการลดประสิทธิภาพในการทำงานลงอย่างไม่รู้ตัว แม้ว่าเราจะรู้สึกสบายใจในการทำก็ตาม เพราะเสียงเพลงจะดึงความจดจ่อจากงานออกไปสู่ทั้งตัวเนื้อเพลง และจังหวะต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับงานที่ต้องใช้ความคิดเป็นอย่างมากแล้ว การใช้ดนตรีดูเหมือนจะทำให้แย่ลง (ผลวิจัยแนะนำว่าให้ฟังก่อนเริ่มงาน 10-15 นาทีดีกว่า) แต่ในทางกลับกัน กับงานประจำที่ทำซ้ำๆ ไปมาแล้ว การฟังเพลงจะช่วยแก้เบื่อและทำให้มีชีวิตชีวาขึ้นได้ 

     ซึ่งเมื่อหูฟังไม่ใช่ทางแก้ และโต๊ะของเราก็ไม่ใช่สถานที่เหมาะสมอีกต่อไป ทางออกสุดท้ายก็คือการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานระแวกนั้นถึงการใช้เสียงลงบ้างในบางช่วงเวลาที่เราจำเป็นจะต้องใช้ความคิด แต่หากว่ากลัวเมื่อพูดไปแล้วจะกระทบคสามสัมพันธ์ในการทำงาน การย้ายที่นั่งชั่วคราวเพื่อสะสางงานที่จำเป็นต้องใช้สมาธิให้เสร็จ ก็เป็นทางเลือกในการปัญหาที่จะทำให้เราเคลียร์งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Related posts
ชีวิตเอเจนซี่

8 ข้อต้องรู้ บรีฟยังไงให้ได้งานที่ตรงใจ

ดิจิทัลต้องรู้!สาระจุกๆ

รวมเทคนิค "เช็กให้ชัวร์ก่อนแชร์" ก่อนจะเป็นคนแพร่ข่าวปลอมไม่รู้ตัว

ดิจิทัลต้องรู้!ใต้โต๊ะดีไซน์เนอร์

เล่างานออกแบบให้ตรงกับความคิดด้วย Moodboard พร้อม 7 เว็บ สร้าง Moodboard เจ๋ง ๆ

ดิจิทัลต้องรู้!ใต้โต๊ะดีไซน์เนอร์

7 เทคนิคการเลือกใช้ฟอนต์ในงานออกแบบ

Sign up for our Newsletter and
stay informed
[mc4wp_form id="14"]