การตลาดดิจิทัล

Social Giver แอปสำหรับคนชอบทำดีย์ – แกะกลยุทธ์ระบบนิเวศน์แห่ง “การให้”



     เริ่มต้นปีใหม่ทั้งที หลาย ๆ คนก็อาจจะเริ่มตั้ง New Year Resolution ใหม่กันแล้ว (ที่เมื่อย้อนคิดถึงไปก่อน ก็เหมือนยังทำไม่ครบ แต่ก็ช่างมัน 555+) แต่หากความตั้งใจในปีนี้ของคุณ จะเป็นเรื่องของการทำดี และมีส่วนช่วยเหลือสังคม ให้ควบคู่ไปกับการใช้ชีวิตปกติแล้ว เราก็อยากจะแนะนำ Platform ที่มีชื่อว่า Social Giver ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างระบบนิเวศน์แห่ง “การให้” 

     แม้ว่า Platform นี้จะมีออกมาให้ผู้คนได้เริ่มใช้กันมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว (ตั้งแต่ปี 2015) แต่เชื่อว่าก็ยังมีหลายคนที่ยังไม่เคยเห็น หรือยังไม่เคยรู้จักอีกเป็นจำนวนมาก เลยต้องขออธิบายโมเดลธุรกิจของ Social Giver คร่าวๆ ให้ดูกันก่อนว่า Platform ที่ว่านี้ใช้ทำอะไรได้บ้าง 

     โดย Social Giver เนี่ยก็เป็น Platform ที่มีทั้ง Website และ Application ที่ดึงดูดบรรดาธุรกิจใจดีต่าง ๆ ที่อาจมีทรัพยากรยังเหลืออยู่ เช่น ธุรกิจที่พักในสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในช่วง Low Season ที่มักจะมีห้องว่างเหลือ หรือ แม้แต่ร้านอาหารในช่วงที่ขายได้ไม่เต็ม Capacity หรือ แม้กระทั่งธุรกิจบริการทั่ว ๆ ไปที่มีจิตกุศลอยากทำ CSR ช่วยเหลือสังคมก็สามารถมาเข้าร่วมได้ เป็นต้น โดยให้ธุรกิจที่ว่าบริจาคส่วนที่เหลือมาให้กับ Social Giver 

     จากนั้นทาง Social Giver ก็จะนำสิ่งที่ได้มาขึ้นบน Platform ให้ผู้ใช้บริการได้เลือก ชิม ช้อป ใช้ บรรดาร้านอาหาร โรงแรม หรือบริการเหล่านี้ ตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ในราคาที่เข้าถึงได้ แล้วจึงนำ 70% ของรายได้นั้น ไปช่วยเหลือโครงการเพื่อสังคมต่าง ๆ เพื่อบรรเทาและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศของเรา และอีก 30% ของรายได้ก็เป็นส่วนที่จะใช้พัฒนาระบบนี้ให้คงอยู่ต่อไป



     แนะนำ Platform กันไปเสร็จสรรพแล้ว หากใครสนใจก็สามารถไปทดลองใช้กันได้ที่ https://th.socialgiver.com/th หรือผ่าน Application บน
App Store และ Google Play แต่วันนี้เราจะพาผู้อ่านมาเจาะลึกกันไปกว่านั้น ถึงปัจจัยที่ทำให้ Platform นี้ประสบความสำเร็จ กลยุทธ์ที่มีการนำมาใช้จะมีความน่าสนใจยังไงกันบ้าง ลองมาดูกัน

ยุคที่คนแค่ทำดียังไม่พอ ต้องขอความโปร่งใสด้วย

ที่ผ่านมาสังคมแบบไทยๆ มักที่จะยกเรื่องของ “ความดี” นำหน้ามาเสมอ และมักชื่นชมการ “ทำดี” ของ “คนดี” จนบางทีก็มองข้ามในเรื่องอื่น ๆ อย่าง “โปร่งใส” กันไป แต่ทุกวันนี้ความโปร่งใสและการตรวจสอบได้กลายมาเป็นส่วนสำคัญอีกปัจจัยที่ทำให้คนตัดสินใจจะร่วมบริจาคกันไปแล้ว เพราะจากช่วงผ่านมาเราอาจจะได้เห็นดราม่าในเรื่องของการบริจาคต่าง ๆ นานา จากผู้คนหรือเซเลบต่างๆ ที่รับบริจาคไปเป็นจำนวนเงินมหาศาล แต่ถึงเวลาจะให้ชี้แจงค่าใช้จ่ายนั้นกลับตรวจสอบไม่ได้ อีกทั้งยังพบเบื้องลึกเบื้องหลังค่าใช้จ่ายบางอย่างที่น่าสงสัยไปเสียอีก

ทาง Social Giver จึงหยิบเอา Insight ตรงนี้มาปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะนอกจากเป็นช่องทางให้คนได้ทำความดี แบบที่ไม่ต้องปิดทองหลังพระแล้ว ยังเพิ่มในเรื่องของความโปร่งใส ความถูกต้อง อันเป็นข้อครหาที่มักเกิดขึ้นควบคู่กันมากับการบริจาคอยู่เสมอ มาปรับใช้เพื่อให้สบายใจทั้งผู้บริจาค และมั่นใจว่าจะถึงมือผู้รับอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยในแต่ละโครงการที่คัดเลือกมา

โดยผู้ที่บริจาค หรือสนับสนุนบริการผ่าน Social Giver นั้น สามารถเข้าถึงรายละเอียดของโครงการ ที่มาของปัญหา การชี้แจงถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ว่าในเงินบริจาคของเรานั้น จะถูกใช้ไปกับอะไรบ้างในแต่ละ Phase ของในการแก้ไขปัญหา และที่สำคัญคือทาง Social Giver จะมีส่วนในการคัดเลือกโครงการ ที่มีแผนในการพัฒนาให้ผู้คนมีความสามารถ และหาทางเอาตัวรอดได้เองในอนาคตโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเงินบริจาคตลอดไป ทำให้เพื่อโครงการนั้นได้บรรลุตามเป้าหมายได้แล้ว ทางผู้บริจาคก็สามารถปันเงินไปช่วยเหลือโครงการอื่นได้ต่อ 

ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ก่อให้เกิดประสิทธิภาพมากกว่าการบริจาคประเภทสร้างภาพของหลาย ๆ องค์กรที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ที่หลังจากโยนเงินเข้าไปก้อนนึงแล้ว ก็ไม่ได้ติดตามพัฒนาผลต่อ จนเมื่อเงินทุนบริจาคหมดไป ปัญหาต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม (แต่องค์กรก็ได้ PR ในช่วงนั้นแล้วก็จากไป) ในส่วนนี้จึงเป็นจุดเด่นของโครงการที่เข้าใจจิตใจของคนบริจาค ที่นอกจากต้องการทำดีแล้ว ยังต้องเห็นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ รวมไปถึงการได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้จริงด้วย

Win ทุกฝ่าย ได้ใจทุกคน

การพัฒนาโมเดลธุรกิจให้ Win กันทุกฝ่าย มักเป็นแนวทางการทำธุรกิจที่สร้างความยั่งยืน เพราะจะพาผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดในวงธุรกิจของเรานั้น ได้รับผลประโยชน์ไปด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ผู้ใช้รายย่อย ก็ได้เลือกซื้อสินค้าและบริการในแบบที่ตัวเองต้องการ ตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ในราคาที่พอใจ เพราะข้อเสนอของสินค้าและบริการที่ออกมาจะอยู่ในลักษณะของดีลที่มีส่วนลดพ่วงมาให้ 

เช่น หากผู้ใช้เป็นคอกาแฟ และมีการใช้บริการร้านอย่าง Tim Hortons อยู่แล้ว ใน Application ก็จะมีข้อเสนอให้เราเลือกซื้อ Package ในรูปแบบของ Coffee Pass ได้ ในราคา 890 บาท จากราคาเต็ม 1500 บาท โดยสิ่งที่ผู้ซื้อจะได้ก็คือ สิทธิแลกกาแฟจำนวน 20 แก้ว ภายในเวลา 60 วัน ซึ่งหากผู้ลูกค้าของ Tim Hortons อยู่แล้ว ก็เหมือนว่าได้ดีลซื้อในราคาที่ลงมากว่าครึ่งเลยทีเดียว ดังนั้นลูกค้าก็เลย Win จากการที่ได้สินค้าและบริการในแบบที่ไม่ต้องฝืนแต่อย่างใด ต่างจากการบริจาคทั่วไปที่อาจได้อะไรกลับมาไม่ตรงตามที่ต้องการ อันนี้เลยเหมือนเราแค่ใช้ชีวิตตามปกติของเรา แต่เงินได้ไปมีส่วนช่วยโครงการต่าง ๆ

สำหรับร้าน Tim Hortons เองก็เป็นร้านกาแฟแฟรนไชส์ชื่อดังจากแคนาดา ที่เพิ่งเริ่มมาเปิดตลาดในไทย ก็ได้โอกาสได้การทำแคมเปญโปรโมชั่นไปด้วย เพื่อให้ลูกค้าใหม่ ๆ ได้มีโอกาสลิ้มลองกาแฟ และเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าได้เข้าถึงมากยิ่งขึ้น หรือถ้าเป็นธุรกิจอย่างที่พักสุดหรูนั้น ก็คงเสียโอกาสไปเปล่า ๆ ในช่วง Low Season ที่มีห้องว่าง ก็สามารถนำมาเข้าร่วมโครงการเพื่อให้ลูกค้าได้มีโอกาสเข้ามาเลือกใช้ได้ เพื่อเอาเงินส่วนที่ลูกค้าใช้บริการไปสนับสนุนโครงการพัฒนาสังคมต่อ ก็ดีกว่าที่ทางที่พักจะปล่อยห้องเอาไว้เปล่า ๆ โดยที่ไม่ได้อะไรเลย 

นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นสินค้าและบริการประเภทไหน การเข้าร่วมโครงการก็เสมือนเป็นการทำ CSR อย่างหนึ่งที่จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของการสนับสนุนโครงการช่วยเหลือสังคมต่าง ๆ ไปด้วย อย่างโครงการ 890 บาท ของ Tim Hortons ที่กล่าวมานั้น ก็นำกำไร 100% ที่ได้ ไปสนับสนุนโครงการ Wildchain ที่เป็นโครงการเพื่อปกป้องรักษาสัตว์ที่เสี่ยงสูญพันธุ์อีกด้วย ก็ยิ่งช่วยให้ Tim Hortons นั้นดูดีในเรื่องของการใช้วัตถุจากธรรมชาติ และก็ยังช่วยเหลือธรรมชาติควบคู่กันไปด้วยได้เป็นอย่างดี

ในส่วนของสังคมเองก็จะได้รับความช่วยเหลือไปตามจำนวนผู้ใจบุญทั้งจากภาคธุรกิจและลูกค้ารายย่อยที่บริจาคให้กับโครงการ ทั้งการให้โดยตรงหรือผ่านการซื้อสินค้าและบริการก็ตาม ก็เท่ากับว่าในแต่ละวันที่มีโครงการที่ทำการระดมทุนได้สำเร็จมากขึ้น ชีวิตของผู้คนที่ประสบปัญหาในแต่ละโครงการ ก็มีโอกาสที่จะถูกพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นได้เช่นกัน อย่างในบางโครงการที่ประสบความสำเร็จที่ผ่านมาอย่าง 

โครงการฝึกอบรมนักบำบัดวอยต้าเพื่อฟื้นฟูเด็กที่แขนขาพิการมาตั้งแต่กำเนิด ที่จะช่วยพัฒนาทักษะให้นักบำบัดเหล่านี้ ออกไปดูแลผู้ป่วยและปรับให้พวกเขาช่วยเหลือตัวเองและใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยพัฒนาสังคมไปในทางที่ดีขึ้นได้มาก เพราะจะได้คนพิการที่สามารถดูแลตัวเองได้ และพร้อมใช้ชีวิต ทำงาน แทนที่จะอยู่ติดบ้านไปตลอดชีวิตหากไม่ได้รับการบำบัด

ระบบการบริจาคที่ดึงดูด ชวนทำดี

     ซึ่งความน่าสนใจของโครงการเหล่านี้ก็คือจะถูกคัดเลือกมาจากทาง Social Giver เอง และต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน มีความเป็นไปได้จริง โดยต้องมีการนำเสนอแผนโครงการมา ว่าหากได้รับเงินจำนวนนี้ไปแล้วจะมีแผนพัฒนาสังคมตามจุดประสงค์ได้อย่างไรบ้าง พร้อมทั้งชี้แจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมถึงแนวทางต่อยอดที่ยั่งยืนของโครงการ เสมือนเป็นอีกแผนธุรกิจที่จะทำให้ตัวเองนั้นสามารถอยู่ในอนาคตโดยไม่ต้องพึ่งพาเงินก้อนใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา 

     อย่าง Wildchain ก็เป็นการระดมเงินทุนไปจำนวน 500,000 บาท เพื่อสนับสนุนตัวโครงการในการช่วยเหลือสัตว์ต่าง ๆ ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ ในขณะเดียวกันก็มีแผนการทำ Application ขึ้นมา ในลักษณะของเกมที่ต้องรับบทเป็นนักอนุรักษ์ เพื่อเป็นการปลูกจิตสำนึกให้ผู้คนนั้น หันมาสนใจและใส่ใจเรื่องของธรรมชาติและสัตว์ป่ามากขึ้นเช่นกัน

     ในส่วนของ Progress Rate หรือระดับการบริจาคในแต่ละโครงการนั้น เป็นอีกฟังก์ชันชั้นดี ที่จะช่วยส่งเสริมให้คนมาสนับสนุน เพราะเมื่อคนเห็นว่า โครงการจะเริ่มใกล้ Complete ก็อยากจะบริจาคให้เต็ม เพื่อให้โครงการนั้นเกิดขึ้นได้จริง ๆ หรืออาจเห็นว่าบางโครงการมีเงินในการบริจาคเยอะแล้ว ก็สามารถกระจายมาช่วยที่โครงการอื่น ๆ เพื่อให้เงินบริจาคมีความทั่วถึงและช่วยเหลือได้ในหลายส่วนมากยิ่งขึ้น 

     อีกทั้งในส่วนของข้อมูลโครงการยังมีระบุลงถึงต้นทุนต่อหน่วย ของการบริจาค ว่าเงินจำนวนเท่านี้ ๆ จะช่วยอะไรได้บ้าง โครงการฉีดค่าวัคซีนให้น้องหมา แมว ก็มีระบุเอาไว้ว่าทุก ๆ 250 บาท จะช่วยเป็นค่าวัคซีนให้น้องหมา แมว 1 ตัว เพื่อให้ผู้บริจาคสามารถคิดเป็นต่อหน่วยได้ง่ายขึ้นว่าอยากช่วยเท่าไร และช่วยให้แต่ละคนที่มีความอยากช่วย อยากทำดี ต่อสิ่งที่สนใจไม่เท่ากันนั้น ได้มีโอกาสเลือกสรรว่าเราอยากเห็นโครงการไหนสำเร็จก่อนได้สะดวกขึ้น

Related posts
การตลาดดิจิทัล

Cloud Kitchen แนวทางต่อลมหายใจ เมื่อร้านอาหารไม่มีหน้าร้านแล้ว

การตลาดดิจิทัล

"Momketing การตลาดฉบับคุณแม่" กระตุ้นต่อมซื้อมนุษย์แม่ยุคใหม่ ทำได้อย่างไร?

การตลาดดิจิทัลดิจิทัลต้องรู้!

6 หนังสอนธุรกิจชั้นดีในยุคใหม่ ที่เจ้าของกิจการควรหาโอกาสดู

การตลาดดิจิทัลดิจิทัลต้องรู้!

"เล่นไอจีให้มีรายได้" เทรนด์สร้างเงินสุดฮิตบน Instagram ในปี 2021

Sign up for our Newsletter and
stay informed
[mc4wp_form id="14"]