1) อัพเกรดสกิลที่จำเป็นต้องใช้
อย่าปล่อยให้ช่วงเวลาที่โดนล็อคดาวน์ถูกใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะมันคือช่วงเวลาที่จะเติมเต็มสกิลและความสามารถตัวเองให้พร้อม และพร้อมลุยกับการหางานในอนาคต เพราะหากเป็นเมื่อก่อน แค่วุฒิการศึกษา 1 ใบ บวกกับการสัมภาษณ์ก็เพียงพอแล้วสำหรับการสมัครงานใหม่สักที่ ความรู้จากสิ่งที่เรียนมาก็เป็นพื้นฐานเพียงพอ ส่วนที่เหลือก็ไปเรียนรู้ในที่ทำงานเอา
แต่ทุกวันนี้จะคิดเหมือนเดิมก็คงไม่ได้ เพราะในยุคแบบนี้ หลายธุรกิจเองต่างก็อยากได้บุคคลากรที่สามารถเอามาใช้ทำงานได้เลย ไม่ต้องเทรนนิ่งอะไรมากมาย เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นการเสียเวลาธุรกิจที่ต้องมาเทรนพนักงานก่อน และหากเป็นการทำงานแบบ Work From Anywhere ก็ยิ่งสอนงานกันยากเข้าใหญ่ รวมถึงองค์กรเองก็คงไม่อยากเสียเวลากับช่วงเวลานี้มากมายนัก ดังนั้นสิ่งที่เด็กเรียนจบใหม่ต้องปรับก็คือการเตรียมความสามารถตัวเองให้พร้อมเริ่มงานได้เลย
โดยทักษะและความสามารถของแต่ละสายงานที่จะต้องมีนั้นก็จะมีความแตกต่างกันไป แต่เนื่องจากบางคนอาจเด็กจบใหม่ยังไม่มีประสบการณ์ทำงานมาก่อนจึงไม่รู้ว่ามีอะไรที่ต้องเตรียมบ้าง คำแนะนำคือให้นึกถึงตอนช่วงฝึกงาน ที่ได้ร่วมทำงานจริงๆ ในองค์กร ว่ามีอะไรบ้าง และเราเองยังขาดทักษะอะไรเหล่านั้นอยู่ แต่ถ้าหากไม่มีประสบการณ์ฝึกงานมาอีก
ตอนนี้ก็คงเป็นจังหวะที่ดี ที่เราจะใช้คอนเนคชั่นที่มีกับรุ่นพี่ หรือคนรู้จักที่ทำงานสายงานเดียวกัน เพื่อปรึกษาว่าตัวงานที่ต้องทำในปัจจุบันนั้น ต้องมีทักษะอะไรบ้าง จากนั้นจึงไปเตรียมตัวให้พร้อม ซึ่งทุกวันนี้ก็มีคอร์สออนไลน์ต่างๆ มากมาย (ทั้งฟรีและเสียเงิน) ที่พร้อมให้เราเข้าไปแสวงหาความรู้เพิ่ม และเตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มงานนั้นๆ ซึ่งถ้าหากคอร์สเหล่านั้นได้ Certificate หรือใบรับรองมาด้วยก็ยิ่งดีสำหรับการที่จะนำมาเติมพอร์ทสมัครงานเข้าไปใหญ่
2) ยืดหยุ่นพร้อมปรับตัว
อีกข้อที่ดูเหมือนว่าการพูดคงเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าทำ กับการที่ต้องยืดหยุ่นและพร้อมปรับตัวอยู่ตลอด และที่สำคัญเลยก็คือการอย่าไปยึดติดกับสิ่งที่เรียนมา แม้ว่าเราจะใช้เวลาเรียนมาถึง 4 ปี แต่ถ้าตอนนี้ความรู้ที่มีนั้น ไม่มีใครจะเอาไปใช้งานได้ก็คือไม่มี เพราะเราต้องพิจารณาถึงตลาดแรงงานก่อนว่า ตอนนี้นั้นสายงานที่เป็นที่ต้องการคืออะไร และสิ่งที่เคยเรียนมานำไปปรับใช้ได้มากน้อยขนาดไหน และส่วนที่ยังขาดไป ก็ต้องอาศัยการเติมหาความรู้เพื่อให้เอาไปทำงานนั้นๆ ซึ่งโดยปกติการแล้ว สกิลที่ใช้ในการทำงานจริง อาจใช้จากการคอร์สเรียนเพียงแค่ 2-3 คอร์สเองก็ได้
ในส่วนของงานในฝันอาจต้องพับแผนไปก่อน ยกเว้นว่าเรามั่นใจในความสามารถที่โดดเด่นของตัวเองจริงๆ แต่ถ้าอยู่ในระดับ Standard ทั่วๆ ไปแล้ว บอกเลยว่ายุคนี้ทางเลือกเราอาจจะไม่ได้เยอะเหมือนปกติ แถมการแข่งขันก็ยังสูงมาก การลดสเปคและความคาดหวังลงมาบ้างเป็นอีกสิ่งที่อาจต้องทำใจ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางด้าน ชื่อเสียงขององค์กร ผลตอบแทนที่จะได้รับ สถานที่ตั้งของที่ทำงาน หรืออะไรก็ตาม ถ้าส่วนไหนผ่อนได้ อาจจะต้องทำใจที่จะผ่อนลงมา (แต่ส่วนตัวอาจไม่แนะนำให้ลดรายได้จากที่คาดหวังมากนัก เพราะจะทำให้เติบโตได้ยากขึ้น)
ซึ่งหากไม่มีทางเลือกจริงๆ อาจต้องลองมองหาสักงานเพื่อเริ่มต้นไปก่อน เพื่อเป็นการหาประสบการณ์ และเติมเข้าไปในพอร์ทเพื่อให้เป็นการปูทางไปสู่อนาคตที่ดีเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นจะดีกว่า เพราะไม่เช่นนั้นเราอาจจะต้องเสียเวลาไป 1 ปีฟรีๆ โดยที่ไม่ได้อะไรกลับมาเลยด้วยซ้ำ เพราะหากเลือกไปสักงานก่อน อย่างน้อยๆ ประสบการณ์ส่วนนี้ก็น่าจะเป็นประโยชน์ได้ในการหางานครั้งต่อไปได้มากกว่าคนที่ยังไม่มีพอร์ทงานมาก่อนอย่างแน่นอน
3) เน้นการหางานแบบเชิงรุก เปิดรับทุกโอกาส
ในช่วงเวลาปกตินั้น การอัพเดทโปรไฟล์ดีๆ และไปโยนเอาไว้ในเว็บหางานต่างๆ นั้น โดยส่วนมากแล้วเมื่อเวลาผ่านไปไม่นานก็มักจะมีคนที่เริ่มทยอยติดต่อเข้ามาเพื่อเรียกไปสัมภาษณ์แล้ว แต่สถานการณ์นี้ดันไม่ใช่สถานการณ์ปกติ การรอตั้งรับอย่างเดียวก็ดูจะไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป ทำให้ยุคนี้คนหางานต้องออกมาแรงตามหางานมากกว่าปกติ โดยการลุยเข้าหาเว็บสมัครแทบทุกเว็บที่มีความน่าเชื่อถือ และทำการยื่นสมัครสายงานต่างๆ ที่เปิดรับและตรงกับทักษะความสามารถที่เรามี ด้วย Profile ที่ทำเอาไว้อย่างดี
นอกจากพวกเว็บไซต์ในไทยอย่าง JobDB หรืออื่นๆ แล้วนั้น แพลทฟอร์มสากลอย่าง Linkedin ยังคงเป็นแอปที่ดีในการหางาน และมีเครือข่ายในการหางานอยู่มากมาย โดยเทคนิคที่เราจะนำมาแนะนำ ก็คือการพยายามแอดพวก Headhunter เอาไว้เยอะๆ และสร้าง Profile ดีๆ เอาไว้ กลุ่มคนที่เป็น Headhunter เหล่านี้ ก็จะมีความแอคทีฟที่พยายามจะจับคู่คนกับงานอยู่ตลอด ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสได้เป็นอย่างมาก
ในส่วนสุดท้ายก็คือ ให้นึกถึง Connection ต่างๆ ที่เราเคยมีเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่จากมหาลัยที่เรารู้จัก หรือใครก็ตามแต่ที่เรารู้จักแล้วอยู่ในสายงานที่เราสนใจ ก็อยากให้เริ่ม Connection ที่มีใช้ตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อลองสอบถามถึงตำแหน่งที่ยังพอมี เพราะโดยส่วนมากแล้วการรับสมัครเข้าทำงานด้วยการ Reference นั้นจะมีโอกาสได้งานมากกว่าการสมัครมาแบบปกติด้วยซ้ำไป
4) สร้างความโดดเด่นให้กับตัวเอง
แน่นอนว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงที่การแข่งขันสูงขึ้น เพราะในขณะที่ดีมานด์จากการต้องการพนักงานใหม่ที่มีน้อยลง ในขณะที่เด็กจบใหม่ก็ยังจบออกมาด้วยปริมาณเท่าเดิม ทำให้การทำอะไรที่เป็นแค่ Standard ก็อาจถูกปัดตกลงไปได้อย่างง่ายดาย หากเทียบกับคู่แข่งคนอื่นๆ ที่มีอะไรมากกว่าเรา ทำให้อะไรที่สามารถสร้างความโดดเด่นให้กับเราได้ ก็ควรงัดออกมาในช่วงนี้ ในบางสายงานถ้ามีพอร์ทผลงานต่างๆ ก็ควรเตรียมเอาไว้ให้ดี เพราะมันคือสิ่งที่จะแสดงความเหนือกว่าออกมาอย่างเห็นได้ชัด
และในส่วนของพอร์ท ไม่ควรเป็นแค่การแสดงผลงาน แต่ควรเล่าถึง Value ในแต่ละเรื่องได้ ว่าสิ่งที่เราทำนั้น ได้อะไร รวมถึงให้อะไรกับองค์กรที่เราเคยทำให้เอาไว้ ยิ่งบอกเป็นตัวเลขได้ก็จะยิ่งดี รวมไปถึงใบ Certificate ต่างๆ ที่เคยได้รับนอกเหนือจากการเรียนในมหาวิทยาลัย อาทิ ตามคอร์สต่างๆ หรือคอร์สออนไลน์ก็นำมาใช้ประดับโปรไฟล์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้พวกสกิล General ต่างๆ อาทิ ความสามารถด้านภาษา กิจกรรมที่มีคุณค่า ต่างๆ อาจถูกใช้เป็นสิ่งที่ตัดเชือกได้เหมือนกันในกรณีที่มีวุฒิการศึกษาหรือส่วนอื่นๆ ที่เท่ากัน
5) เตรียมตัวให้พร้อมเอาไว้ สำหรับสัมภาษณ์ออนไลน์
ทุกวันนี้กระบวนการรับพนักงานก็เปลี่ยนไปมาก จากที่เคยนัดสัมภาษณ์กันแบบต่อหน้าที่ออฟฟิศ ก็กลายเป็นสัมภาษณ์ออนไลน์ ซึ่งในจุดนี้ก็ทำให้หลายคนที่ดันพลั้งพลาดไม่ได้ระวังก็สอบตกในส่วนนี้ไปอย่างน่าเสียดายจากการที่ไม่ได้เตรียมพร้อมเอาไว้ เพราะการสัมภาษณ์แบบออนไลน์มีปัจจัยมากมาย ที่ทำให้เราพลาดได้อย่างง่ายๆ อาทิ สัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ไม่อำนวย จนทำให้ภาพและเสียงที่ออกมา อาจเกิดการสะดุดติดๆ ขัดๆ หรือแม้กระทั่งเสียงรอบข้างจากบริเวณที่เราทำการสัมภาษณ์ (ถึงจะอยู่ในบ้านแต่ไม่แจ้งคนได้บ้านเอาไว้ ก็อาจถึงคราวซวยได้เช่นกัน) แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เหมือนอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด แต่จากมุมมองคนสัมภาษณ์มันก็คือความไม่พร้อมอย่างนึงได้เหมือนกัน
นอกจากนี้การสัมภาษณ์ออนไลน์นั้น ยังมีความแตกต่างจากการสัมภาษณ์แบบต่อหน้าสำหรับบางคน ยิ่งเมื่อต้องมีการเปิดกล้องแล้ว แนะนำให้หามุมที่ Background ดีๆ มีแสงเพียงพอ จัดกล้องให้เราดูดี มีการแต่งกายที่เหมาะสม รวมไปถึงการซ้อมสัมภาษณ์ ด้วยการพูดผ่านจอดูสภาพตัวเองเอาไว้ก่อน เพื่อให้การสัมภาษณ์ที่ออกมานั้นเป็นอย่างดี
6) เมื่อได้งานเมื่อไร ต้องรีบจบด้วยการเซ็นสัญญา
หากเราทำมาได้ทุกข้อจนได้งานแล้ว สิ่งที่ควรทำต่อไป คือทำทุกอย่างให้ได้เซ็นสัญญาโดยเร็วที่สุด อย่าให้โปรเซสนั้นนานเกินไป เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ ในช่วงที่ผ่านมีคนหางานหลายๆ คนที่สัมภาษณ์ผ่านอะไรผ่านเสมือนได้งานแล้ว แต่สุดท้ายพอโควิดระบาดอีกรอบ จากสถานะรับก็กลายเป็นสถานะ Hold หรือ Freeze เอาไว้ก่อน จนสุดท้ายก็กลายเป็นยังไม่ได้งานซะงั้น เพราะความแน่นอนไม่มี ถ้าเกิดเหตุไม่ดีขึ้นมาอีก บริษัทคงเลือกที่จะตัดต้นทุนก่อน
ซึ่งการรับปากการสัญญาใดๆ ก็ไม่มีผลเท่าการได้เซ็นเอกสารบรรจุเป็นพนักงานให้เรียบร้อย ดังนั้นหากมีการนัดเซ็นสัญญาหรือเริ่มงาน เราควรตอบรับให้เร็วที่สุด ในส่วนไหนที่เกิดล่าช้าหรือดึงกันไปมา ควรที่จะรีบเร่งโปรเซสให้เร็วขึ้น จนไปถึงขั้นเซ็นสัญญาให้ได้ แต่เมื่อเข้าได้เมื่อไรก็อย่าเพิ่งวางใจ เพราะในช่วงทดลองงาน 3-6 เดือนนั้น ก็ขอให้ตั้งใจ และสร้างผลงานมากๆ สุดท้ายแล้ว ทางเราก็ขอเป็นกำลังใจให้เห็นเด็กจบใหม่ รวมถึงคนที่กำลังหางานในยุคนี้ทุกๆ คนครับ