การตลาดดิจิทัล

เมื่อแบรนด์ดังจับมือกันปังปุริเย่! แล้ว Brand ได้อะไร จากการจับคู่กันทำ Partnership

 
        การที่อยู่ ๆ สอง Brand จะมาจับมือเพื่อร่วมกันทำอะไรบางอย่างนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ก็มีหลากหลาย Brand ที่มาจับมือวนเวียนกันอยู่เรื่อย ๆ บางคู่จับกันแล้วปัง ก็มักจะมีการผูกสัมพันธ์แล้วกลับมาจับมือกันใหม่ หรือบาง Brand ที่จับกันแล้วแป้ก จากความที่ไม่เข้ากันในบางอย่าง หรืออาจจะเพราะจุดยืนของ Brand หรือ Product มันไปด้วยกันไม่ได้จริง ๆ ก็มีมากมาย สุดท้ายก็แยกย้ายกันไป
        แต่ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ตาม Brand ก็ยังพยายามหามุขใหม่ ๆ เพื่อมาทำอะไรร่วมกันอยู่เสมอ นั่นเป็นเพราะอะไรลองมาดูกัน

1. จับมือกันเมื่อไร ผู้คนสนใจเมื่อนั้น!

        เป็นเรื่องปกติที่เมื่อแบรนด์เลือกจะจับมือกันนั้น มักจะได้รับความสนใจจากผู้คนเสมอ เพราะลูกค้าจากทั้ง 2 Brand ก็คาดหวังที่จะเห็นสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นจาก Brand ที่ตัวเองสนใจ และจะยิ่งมากขึ้นไปอีก หากตัวเองเป็นติ่งของทั้งคู่อยู่แล้ว ไม่ว่าการจับมือกันนั้น จะออกมาปังหรือแป้ก แต่กระแสจะเริ่มทยอยออกมาแน่ ๆ ทั้งกลุ่มคนที่เห็นดีเห็นงามกับสิ่งที่ออกมา หรือวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เข้ากันเสียเลยก็ตาม 

        ทั้งหมดทั้งมวลก็จะถูกพูดถึงกันแบบปากต่อปาก (Word of Mouth) เกิดการพูดถึงและแชร์ไปต่อ ๆ กันจนก่อเกิดเป็นกระแสขนาดใหญ่ (Viral) ได้ ทำให้ Brand นั้นได้รับ Awareness หรือผู้คนจะรับรู้การมีอยู่ ไปจนถึงการกล่าวถึง Brand ในช่วงเวลานั้นได้โดดเด่นกว่า Brand อื่น ๆ ในตลาดเดียวกัน

CREDIT: BASKIN-ROBBINS 

        ตัวอย่างที่น่าสนใจของการจับคู่กันเพื่อสร้างกระแสให้ Win-Win ก็ ได้แก่ Netflix x Baskin Robbin ในช่วงที่ Netflix เองต้องการจะโปรโมทซีรี่ส์ซีซั่นใหม่ของ Stanger Things ที่มีตัวละครหลายตัวเกี่ยวข้องกับร้านไอศกรีม เลยไปจับมือกับ Baskin Robbin ที่อยากได้ลูกค้าเพิ่มขึ้น เลยเกิดเป็น ไอศกรีมเมนูพิเศษชื่อสุดเท่ อย่าง Demogorgon Sundae, Upside Down Sundae ที่ไม่ว่าใครไปกินก็ต้องถ่ายลง Social สร้างกระแสจนใคร ๆ ก็อยากจะตาม

CREDIT : Kasikornbank.com

        ส่วนอีกตัวอย่างในไทยที่สร้างกระแสฮือฮาจนหลาย ๆ คนต้องเคยได้ยิน เมื่อ Kbank x Blackpink ธนาคารกสิกรไทยนั้นออกบัตรเดบิต (รวมถึงหน้าปกสมุดบัญชี และกระเป๋ารุ่น Exclusive) เป็นลายศิลปินเกาหลีที่ได้รับความนิยมในระดับโลกอย่าง Blackpink ที่แค่เพียงประกาศก็สร้างความฮือฮาไปสู่กลุ่มแฟนคลับจำนวนมาก และตั้งปณิธานว่าจะต้องมีไว้ในครอบครองให้ได้กันเลย

2. ยอดขายก็เพิ่ม ต้นทุนก็ลด

        อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นเสมอกับทุกการจับมือกันของ Brand แต่โดยส่วนมากแล้วนั้น ในช่วงแรก ๆ ของการรวม Product หรือ Service แล้ว ผู้คนก็มักจะอยากเข้าไปลองกันในช่วงทีเปิดตัว เพื่อนำมาอวดหรือรีวิวบอกต่อกันในโลก Social Media กันเป็นจำนวนมาก และส่วนมากมักเกิดกับ Product ที่เป็นเมนูอาหารที่ชวนดึงดูดเวลารวมร่างกันในแต่ละครั้ง เหมือนอย่างที่ช่วงที่ผ่านมา มี KFC x Lays ที่ KFC นำเอาไก่ทอดส่วนที่เป็นหนังกรอบมาผสมกับมันฝรั่งทอดอย่าง Lays หรือแม้แต่คู่ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้อย่าง Pizza Hut กับ BBQ Plaza ที่คลอด Product สุดพิสดารออกมา ก็เรียกกระแสให้ผู้คนเข้ามาลองกันในช่วงเวลานึง

CREDIT : KFC , MK Restaurant

        นอกจากในเรื่องของยอดขายที่อาจเพิ่มแล้ว การ Co-Brand กันอาจช่วยลดต้นทุนในบางอย่างให้กับ Brand ได้ด้วย เพราะทั้งสอง Brand ต่างลงทุนเพื่อทำ Advertising เดียวกัน หรือบาง Brand อาจเพิ่มช่องทางในการขายให้กับอีก Brand ไปได้พร้อม ๆ กันอีกด้วย เหมือนกับตัวอย่างของ MK x ชานมเสือพ่นไฟ ที่ทั้งคู่ต่างทำการโปรโมทไปในทางเดียวกัน คือมี ชานมเสือพ่นไฟ ขายแล้วที่ MK อีกทั้ง ชานมเสือพ่นไฟ เองก็ยังได้ช่องทางในการขายเพิ่มขึ้น โดยอาศัยจำนวนสาขาที่มากมายของ MK โดยที่ตัวเองไม่ต้องลงทุนกับการหา Location ในการเปิดสาขาเพื่อขายเพิ่มเลย จากกระแสการตอบรับที่ดีในครั้งก่อน ล่าสุดทั้งคู่ก็เพิ่งมาจับกันอีกครั้งแล้ว

3. ประตูเบิกทางสู่ฐานลูกค้าใหม่

        การจับมือกันของ Brand นั้น เป็นการช่วยสร้างโอกาสให้ Brand ได้มีโอกาสที่จะเข้าถึงฐานลูกค้าที่มากขึ้นกว่าเดิม โดยฐานลูกค้าที่ว่านั้นก็จะมาจากอีก Brand ที่จับมือด้วย โดยเฉพาะถ้าสินค้าหรือบริการของ Brand นั้น ๆ มีคุณภาพที่ดีพออยู่แล้ว ก็ยิ่งเป็นการเปิดโลกของลูกค้าอีกฝั่งให้เข้ามาทดลองใช้ ด้วยความหวังที่ว่ามันจะดีเหมือนกับ Brand ที่เป็นแฟนคลับมา จนสามารถต่อยอดเข้าสู่โลกของอีก Brand เพื่อใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และมีโอกาสจะเป็นลูกค้าขาประจำของ Brand ได้ในอนาคต

Apple Watch x Nike

        ซึ่งตัวอย่างการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ จาก Brand สู่ Brand ก็ได้แก่ Apple x Nike ที่ทาง Apple ได้หยิบเอาผลิตภัณฑ์ Apple Watch ของตัวเองมาร่วมกับ Nike เพื่อให้ Smart Watch ของตัวเองนั้น เป็นรุ่นที่เหมาะกับผู้ที่ชอบออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา เพราะ Nike มีภาพลักษณ์ที่ให้ผู้ใช้นึกถึงในเรื่องดังกล่าว ซึ่งหากสาวก Apple ได้ลองใช้แล้วถูกใจ ก็อาจจะเปิดใจไปใช้สินค้าอื่น ๆ ของ Nike ให้เข้ากันครบชุด หรือลูกค้าของ Nike ที่ถูกใจสินค้าชิ้นนี้ ก็อาจก้าวข้ามไปใช้ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ Apple เพื่อสร้าง Eco System ได้เช่นกัน

Huawei x Leica ร่วมมือพัฒนากล้องบนสมาร์ทโฟน

        อย่าง Huawei x Leica ก็เป็นอีกคู่แบรนด์ ที่ทำให้กลุ่มลูกค้าที่ไม่มีความรู้เรื่องกล้อง เรื่องเลนส์ แต่ใช้ Smart Phone ของ Huawei ได้ทดลองใช้ถ่ายรูปผ่านมือถือ และได้เห็นคุณภาพของ Leica จนถูกใจ ซึ่งหากในอนาคตมีโอกาสได้เล่นกล้อง และมองหาเลนส์แล้ว Leica ก็อาจจะเป็นตัวเลือกนึงในการเลือกซื้อก็ได้ (ถ้างบถึง…)

4. สร้างความสดใหม่จากส่วนผสมสุด Creative

        การควบรวมของสินค้าระหว่าง 2 Brands แบบชั่วคราว มักทำให้เกิดสินค้าใหม่ที่ออกมาเป็น Limited Edition ที่ออกมาขายในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ก่อนที่จะหายจากตลาดไป ส่งผลให้บรรดาแฟนคลับของ Brand นั้น มักออกตามหารุ่นที่ Brand ไป x กับ Brand อื่น เพื่อเก็บสะสมอยู่เสมอ และหลาย ๆ ครั้งก็จะมีส่วนผสมก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ สำหรับสินค้าและบริการอยู่ด้วย ส่งผลให้การจับมือกันของ Brand จะช่วยให้ Brand คิดนอกกรอบ ฉีกกฎของความเป็นไปได้ และสร้างอะไรใหม่ ๆ ออกมาในแบบที่คาดไม่ถึงอยู่เสมอ

LINE BK เเกิดจากความร่วมมือของ ธนาคารกสิกรไทย และ LINE

        เหมือนอย่างล่าสุดที่ทาง Kbank x Line เพื่อก่อตั้งบริษัทใหม่เป็น กสิกร ไลน์ จำกัด นั้น ก็เป็นการควบรวมของ 2 การบริการ ที่เจ้านึงเป็นธนาคาร ส่วนอีกเจ้าเป็น Chat Application (ที่มี Function แตกแขนงออกมาหลากหลายมากมาย) ซึ่งการผสมผสานกัน ก็ก่อให้เกิด Function ใหม่ของ Line นั่นก็คือการโอนเงินหากันได้ผ่านทาง Application ได้เลย ด้วยฐานผู้ใช้กว่า 44 ล้านคน ประกอบกับ Trend ของ Cashless ในอนาคตก็น่าจะทำให้ส่วนผสมของการบริการใหม่นี้น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

        ส่วน Brand อีกเจ้าที่ทำการ x กับ Pop Culture Fashion หรือ Designer ชื่อดังมาอยู่เสมอคงหนีไม่พ้น Uniqlo Brand เครื่องแต่งกายจากญี่ปุ่น ที่สรรหาลายเสื้อผ้าใหม่ ๆ จากสิ่งต่าง ๆ ที่โด่งดัง ไม่ว่าจะเป็นจากภาพยนตร์ จาก Animation จาก ศิลปินชื่อดังต่าง ๆ ที่มีกลุ่มแฟนคลับ เอามาปรับเข้ากับผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ของตัวเองอยู่ตลอด หรือมีการใช้ Designer มาออกแบบรุ่นที่น่าสนใจอย่างการไป x Marimekko ก็เป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

5. เสริมสร้างภาพลักษณ์ของ Brand ให้เข้มข้น

        การจับคู่ของ Brand ที่มี Position ไปในทางเดียวกันแล้ว จะเป็นการเสริมภาพลักษณ์ให้กับ Brand ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และเป็นการสร้าง Mindset ที่ชวนจดจำให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี อย่างเช่น Brand อย่าง BMW x Louis Vuitton ก็เป็นเสริมความหรูให้แก่กันและกัน โดย Louis Vuitton นั้นได้ออก Collection พิเศษ โดยทำจากวัสดุอย่าง Carbon Fiber เพื่อให้เข้าคู่กับรถรุ่นอย่าง “BMW i8” ซึ่งเป้าหมายของการจับคู่ครั้งนี้ คือการเพิ่มความหรูหรามีระดับอย่างเต็มขั้นให้กับลูกค้าชั้นดีของพวกเขา

BMW x Louis Vuitton , GoPro x Red Bull

        หรือ Brand ที่ GoPro x Red Bull ก็ช่วยเสริมภาพลักษณ์ความ “Extreme” ให้กับสายลุยได้เป็นอย่างดี และเป็นอีกคู่ที่จับกันแล้วรุ่ง เพราะมีจุดยืนไปในทางเดียวกันมาโดยตลอด เลยมีการผลิตทั้ง คอนเทนท์, การทำโปรโมชั่น รวมไปถึงการทำ Innovation ร่วมกัน

Related posts
การตลาดดิจิทัล

Cloud Kitchen แนวทางต่อลมหายใจ เมื่อร้านอาหารไม่มีหน้าร้านแล้ว

การตลาดดิจิทัล

"Momketing การตลาดฉบับคุณแม่" กระตุ้นต่อมซื้อมนุษย์แม่ยุคใหม่ ทำได้อย่างไร?

การตลาดดิจิทัลดิจิทัลต้องรู้!

6 หนังสอนธุรกิจชั้นดีในยุคใหม่ ที่เจ้าของกิจการควรหาโอกาสดู

การตลาดดิจิทัลดิจิทัลต้องรู้!

"เล่นไอจีให้มีรายได้" เทรนด์สร้างเงินสุดฮิตบน Instagram ในปี 2021

Sign up for our Newsletter and
stay informed
[mc4wp_form id="14"]